ความตึงเครียดระหว่างอินเดีย–ปากีสถาน: ภูมิภาคที่อ่อนไหว

     อินเดียและปากีสถานเป็นสองประเทศที่มีประวัติความขัดแย้งยาวนาน โดยเฉพาะกรณีพิพาทเกี่ยวกับแคว้นแคชเมียร์ ซึ่งเคยนำไปสู่สงครามมาแล้วหลายครั้ง ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศนี้มักจะปะทุขึ้นจากเหตุการณ์ในพื้นที่ชายแดน การโจมตีจากกลุ่มติดอาวุธ หรือความเคลื่อนไหวทางการเมืองภายใน

     หากสถานการณ์ในปี 2568 เกิด ความขัดแย้งทางทหารที่รุนแรงขึ้นหรือมีการปะทะกันแบบจำกัดพื้นที่ (Limited War) ผลกระทบจะไม่ได้จำกัดแค่ในภูมิภาคเอเชียใต้เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดโลก โดยเฉพาะ “ราคาทองคำ” ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในยามวิกฤต

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค

  1. การค้าชายแดนหยุดชะงัก
         อินเดียและปากีสถานมีการค้าขายกันในบางส่วน แม้จะมีข้อจำกัด หากเกิดความตึงเครียดจนต้องปิดชายแดนหรือคว่ำบาตรกันเอง จะส่งผลให้ผู้ประกอบการในภูมิภาคเดือดร้อน และกระทบห่วงโซ่อุปทานในระดับท้องถิ่น
  2. กระทบตลาดหุ้นและค่าเงิน
         ความไม่แน่นอนทางการเมืองมักทำให้ตลาดหุ้นอินเดีย (NSE) และปากีสถาน (PSX) ปรับตัวลดลง ขณะที่ค่าเงินรูปีอินเดียและรูปีปากีสถานอ่อนค่าลง โดยเฉพาะหากมีการใช้กำลังทางทหาร
  3. เงินทุนไหลออกจากภูมิภาค
         นักลงทุนต่างชาติอาจถอนเงินออกจากตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) ในเอเชียใต้ และหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรสหรัฐฯ หรือทองคำ

ราคาทองคำจะได้รับผลกระทบอย่างไร?

ทองคำพุ่งขึ้นทันทีเมื่อเกิดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
     ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven asset) ซึ่งมักได้รับความสนใจทุกครั้งที่เกิดความไม่แน่นอน เช่น สงครามหรือวิกฤตระหว่างประเทศ หากความขัดแย้งอินเดีย–ปากีสถานลุกลาม ราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นในระยะสั้นทันที

     การอ่อนค่าของค่าเงินในเอเชียใต้ กระตุ้นความต้องการทองคำในประเทศ
อินเดียเป็นประเทศที่มีการบริโภคทองคำมากที่สุดในโลก หากค่าเงินรูปีอ่อนค่าลง ราคาทองคำในประเทศจะสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการทองคำในประเทศชะลอลงบ้าง แต่ในตลาดโลก ความต้องการทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอาจยังสูงอยู่

ราคาทองคำอาจผันผวนในระยะกลาง
     หากความขัดแย้งลากยาวโดยไม่สามารถประเมินผลลัพธ์ได้ชัดเจน นักลงทุนจะคงการถือครองทองคำในพอร์ต ส่งผลให้ราคาทองยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าจับตา

แม้ความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถานจะยังไม่ขยายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ แต่หากสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้นถึงกลาง โดยนักลงทุนควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และอาจใช้ทองคำเป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงในช่วงความไม่แน่นอน