ซื้อทองที่ไหนดี ? การเลือกซื้อทองในปัจจุบัน  ทองนั้นเป็นเครื่องประดับที่สามารถทำให้ผู้สวมใส่บ่งบอกถึงความมั่นคงและดูมีสง่าราศี ให้กับผู้ที่สวมใส่ ในการซื้อขายทองในปัจจุบันมีอยู่ทั่วโลกและรวมถึงประเทศไทย ที่มีร้านทองตั้งอยู่ทั่วประเทศ ทั้งในรูปแบบการขายทางหน้าร้านและออนไลน์ ซื้อทองที่ไหนดี

หากท่านที่กำลังมองหาหรือร้านทองที่มีคุณภาพ นี้คือปัจจัยหลักในการเลือกซื้อทอง จะต้องมีการหาข้อมูล ในแต่ละร้านที่ท่านรู้จักหรือบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้แน่ใจว่าร้านที่ท่านเลือกซื้อจะต้องเป็นทองคำที่ดีและมีคุณภาพ หรือบริการหลังการขายให้กับท่าน

ข้อควรระวังในการซื้อทอง

1.หากท่าต้องการที่จะทำการลงทุนซื้อทอง จะต้องคำนึงถึงความคงทนของทอง ซึ่งทองแท้นั้นสามารถอยู่ในสภาพเดิมได้นานหลายปี หากท่านต้องการนำไปขายก็จะได้ในราคาที่ดีกว่าเดิมในช่วงที่ทองคำมีการขึ้นราคา

 2.หากท่านต้องการตรวจสอบ ราคาทองคำก็สามารถตรวจสอบตามเว็บไซต์ www.wisdom-gold.com ได้ตลอดเวลาเพราะว่าจะได้รับความน่าเชื่อถือในการตรวจสอบราคาได้อย่างแม่นยำ

 3.ทุกครั้งที่ท่านทำการเลือกซื้อทองคำ ควรตรวจสอบหนักของทองคำทุกครั้ง โดยทางร้านจะมีการช่างน้ำหนักทองคำให้ท่านก่อนทุกครั้งที่จะทำการตัดสินใจในการซื้อทองคำ ซึ่งทองคำความบริสุทธิ์ตามมาตรฐานในประเทศไทยจะอยู่ที่96.5% เช่นทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท จะอยู่ที่ 15.16 กรัม ซึ่งทองคำแบบนี้จะมีน้ำหนักน้อยกว่าทองคำแท่งเพราะว่าถูกนำไปแปรรูปนั้นเอง

 4.หากท่านกำลังมองหาร้านทองที่มีความน่าเชื่อถือและได้มาตรฐานของท้องตลาด เป็นปัจจัยสำคัญที่บ่งบอกถึงมาตรฐานของสินค้าที่คุณกำลังจะได้รับ ซึ่งร้านดังกล่าวจะต้องได้รับใบอนุญาตการขายและมีการติดประกาศให้ลูกค้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และจะต้องมีการชั่งน้ำหนักของทองอย่างชัดเจนให้แก่ลูกค้า

ลูกค้าเคยสงสัยไหมคะ ทำไมราคาทองถึงแพงกว่าราคาที่ติดไว้หน้าร้าน ก็เพราะราคาทอง ที่ติดหน้าร้านเป็นราคาทองคำอย่างเดียว ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการทำทองออกมาในรูปแบบต่างๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้เรียกว่า “ค่ากำเหน็จ” และ “ค่าบล็อค”

เริ่มต้นกันที่ “ค่ากำเหน็จ” เป็นค่าแรงหรือค่าจ้างในการผลิตทองคำ จากทองคำแท่งมาเป็นทองรูปพรรณต่างๆซึ่งค่ากำเหน็จจะแตกต่างตามความยากง่ายของแบบทองรูปพรรณที่ทำขึ้น ดังนั้น หากซื้อทองรูปพรรณน้ำหนัก 1 บาทจะต้องจ่ายค่าทองรวมถึงค่ากำเหน็จต่อน้ำหนักบาทด้วย โดยค่ากำเหน็จอยู่ที่ประมาณบาทละ 600-1,000 บาท ต่อน้ำหนักทอง 1 บาท

ส่วน “ค่าบล็อค” คือ การนำทองมาหลอมจนละลายแล้วเทอลงไปในบล็อคให้ได้รูปร่างออกมาเป็นแท่งบล็อค ซึ่งแต่ละร้านก็จะคิดค่าบล็อคแตกต่างกันออกไป โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 50-200 บาทต่อบาททองคำ ดังนั้น หากต้องซื้อทองคำแท่ง 1 บาท ต้องจ่ายทั้งค่าทองคำและค่าบล็อคการผลิตด้วยนั่นเอง  

จำง่ายๆว่า “ค่ากำเหน็จ” เป็นค่าผลิตราคาทองรูปพรรณ ส่วน “ค่าบล็อก” ค่าผลิตทองคำแท่ง

ที่สำคัญสอบถามหน้าร้านจำหน่ายทองก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง

เทคนิคที่จะช่วยให้ลูกค้าที่ซื้อทองไปแล้ว สามารถขายคืนได้ในราคาดีมาฝากกัน

  • หากซื้อทองรูปพรรณ สังเกตชิ้นงานทอง ว่ามีตอกตราสัญลักษณ์ยี่ห้อหรือผู้ผลิต และระบุเปอร์เซ็นทองชัดเจนหรือไม่ถ้าเป็น สร้อยคอ สร้อยข้อมือ จะระบุไว้ที่ตะขอ หรือช่วงที่เชื่อมต่อกับห่วงเกี่ยวขอ ส่วนแหวนจะระบุด้านในของวงแหวน เป็นต้น เพราะทองคำที่มีตราสัญลักษณ์ยี่ห้อหรือผู้ผลิต และระบุเปอร์เซ็นทองไว้ที่ชิ้นงานชัดเจน เมื่อขายคืนก็จะได้เปรียบกว่าชิ้นที่ไม่มีตรา
  • เมื่อซื้อทองคำแท่งและทองรูปพรรณ ทางร้านค้าทองต้องชั่งน้ำหนักทองให้ลูกค้าดู หากไม่ได้ชั่ง สามารถแจ้งให้ทางร้านชั่งน้ำหนักให้ดูได้ โดยทองคำแท่ง 96.5% น้ำหนักมาตรฐานจะอยู่ที่ 1 บาททอง หนัก 15.244 กรัม ส่วนทองรูปพรรณ 96.5% น้ำหนักมาตรฐานจะอยู่ที่ 1 บาททอง หนัก 15.16 กรัม
  • หากซื้อทองคำแท่ง โดยเฉพาะทองคำแท่งขนาดเล็กกว่า 5 บาท ให้เลือกแบบที่มีซีลพลาสติก เพราะทองคำที่ถูกซีลพลาสติกช่วยลดรอยตำหนิ การบุบ ที่ทำให้น้ำหนักทองหายไประหว่างที่เก็บ ไม่ควรแกะซีลพลาสติกนี้หากไม่จำเป็น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการให้ราคารับซื้อคืนเมื่อนำไปขาย
  • ควรแยกทองรูปพรรณที่ซื้อมาสำหรับสวมใส่ใช้งานประจำ กับชิ้นที่ซื้อมาเก็บไว้เผื่อขาย โดยชิ้นที่ซื้อมาเก็บไว้เผื่อขายอาจไม่ต้องเน้นความสวยงาม เพราะลวดลายที่สวยงามจะมีค่ากำเหน็จสูงและไม่นำมาวนสวมใส่บ่อย ควรเก็บใส่ถุงผ้าหรือกล่องที่ภายในมีบุวัสดุเนื้อนุ่มเพื่อไม่ให้เกิดรอยตำหนิมาก ส่งผลดีต่อการให้ราคารับซื้อคืนเมื่อนำไปขาย
  • หากทางร้านค้ามีใบ Certificate หรือใบรับรองว่าเป็นสินค้าที่ได้ซื้อมาจากทางร้าน ควรเก็บใบนี้ไว้กับทองเมื่อนำไปขายคืนให้นำใบนี้ไปด้วย
  • หากเป้าหมายของการซื้อทอง คือ ซื้อเก็บเพื่อขายในช่วงราคาทองขึ้น ควรซื้อเป็นทองคำแท่งเพราะเวลาซื้อ ค่าบล็อคของทองคำแท่งจะถูกกว่าค่ากำเหน็จของทองรูปพรรณ อีกทั้งเมื่อขายทองคำแท่งคืน ราคารับซื้อจะสูงกว่าทองรูปพรรณ และการนำไปขายคืนที่ร้านเดิมที่ไปซื้อมาก็จะได้ราคาดีกว่าขายคืนต่างร้าน

วันนี้จะมาขอแบ่งปันเทคนิคของนักลงทุนหลาย ๆ ท่านที่มีการลงทุนในทองคำกันค่ะ

1.โดยเฉลี่ยของทุก ๆ ปี ทองคำมักจะราคาขึ้นช่วงต้นเดือนมกราคมและต้นเดือน กรกฎาคม และมักจะราคาลงช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-ต้นเดือนมีนาคม ดังนั้นถ้าใครคิดจะซื้อทองช่วงที่ดีที่สุดคือเดือนกรกฎาคมและมกราคม นอกจากนั้นราคาทองคำยังไม่ค่อยลงต่ำกว่าราคาของเดือนมกราคมดังนั้นถ้าปีไหนราคาทองตกลงมาเท่าราคาของเดือนมกราคม โอกาสที่คุณจะซื้อทองแล้วขาดทุนมีน้อยมาก

2.ราคาทองนั้นสมาคมไม่ได้ Update ตลอดเวลา อัพเดตเป็นช่วง ๆ ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงสำหรับคนที่กำลังจะซื้อหรือขายทองคำ พลาดราคาไปชั่วโมงเดียวมีโอกาสขาดทุนหลายหมื่นได้

3.ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ในการลงทุนช่วงตลาดผันผวนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์อย่างพันธบัตรรัฐบาลและใกล้เคียงกับหุ้นในระยะยาวเลยทีเดียว

4.ถ้าเงินถึงควรซื้อทองแบบเป็นแท่งมากกว่าแบบที่แปรรูปเป็นเครื่องประดับแล้ว เรียกกันในวงการว่าทองรูปพรรณ การซื้อทองคำแท่งจะโดนค่ากำเหน็จในการแปรรูปที่ต่ำกว่า นอกจากนั้นการเก็บเป็นแท่งยังเก็บง่ายกว่ามากด้วย ด้วยเหตุนี้ทองคำจึงออกมาเป็นรูปแบบของแท่งที่สามารถตั้งซ้อน ๆ กันได้

5.ยิ่งซื้อทองที่มีมูลค่าสูง ยิ่งมีค่ากำเหน็จต่ำลง แต่ก็มีข้อเสียคือ แบ่งขายลำบาก หาคนซื้อต่อได้ยาก และมีโอกาสเจอของปลอมสูงขึ้น เนื่องจากคนที่ทำทองปลอมก็มักจะทำออกมาเป็นแท่งขนาดใหญ่เพื่อให้ได้มูลค่ามาก ๆ นั่นเอง นอกจากนั้นการขายทองแท่งใหญ่ ๆ ยังจำเป็นต้องมีการตรวจสอบก่อนซื้อ

6.เอาทองคำไทยไปขายต่างประเทศจะโดนกดราคา เพราะไม่ได้มาตรฐานตามบ้านเขา ทองไทยบริสุทธิ์ 96.5% ทองต่างประเทศบริสุทธิ์ 99.99%

7.กฎเหล็กในการซื้อ-ขายทองคือซื้อที่ไหนควรขายที่นั่นเพื่อไม่ให้เจอปัญหาการกดราคา

8.ตามหลักการแล้วทองคำแท่งเป็นสินค้าที่ “ต้องห้าม” ในการนำออกไปขายต่างประเทศ แต่ก็มีการนำออกไปกันบ้าง โดยถ้าอยากขายทองในต่างประเทศ

9.ทองลงทุนเป็นทองคำดิจิตอลได้แล้ว คล้าย ๆ กับการซื้อ-ขายสัญญาส่งมอบทองคำ ค่าธรรมเนียมถูกกว่าค่ากำเหน็จเยอะ ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและลง แถมยังมั่นใจได้ว่าเป็นทองคำแท้ ๆ แน่นอน

สแกน QR code เพื่อชมสินค้าเพิ่มเติม
คลิ๊กที่ลิ้งค์ https://line.me/R/ti/p/%40wisdomgold

สั่งซื้อสินค้าทาง LAZADA

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่