ราคาทองเทียบกันในแต่ละปียังคงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนแรงกดดันจากนโยบายเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ แม้ราคาทองคำจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่สัญญาณต่าง ๆ กลับชี้ว่า ทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อไปได้อีก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงบริบทนโยบายการเงิน การเมืองระหว่างประเทศ และโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 ซึ่งสามารถจำแนกปัจจัยสำคัญได้ดังนี้:

ปัจจัยหนุนราคาทองคำ:
ธนาคารกลางจีนสะสมทองคำต่อเนื่อง
การเพิ่มปริมาณทองคำสำรองของธนาคารกลางจีน ขณะที่สหรัฐฯ ถือครองในระดับเดิม สะท้อน “การปรับสมดุลอำนาจทางการเงินโลก” และเพิ่มความเชื่อมั่นในทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจากนโยบายของสหรัฐฯ
ทั้งจากการใช้นโยบาย QE ซ้ำอีกครั้ง หรือจากการลดภาษีนิติบุคคลที่อาจกระตุ้นการใช้จ่ายและเงินเฟ้อ โดยเฉพาะนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังส่งผลสะเทือนต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ

ความขัดแย้งทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์
สงครามการค้า, การขึ้นภาษีนำเข้า และการขาดความโปร่งใสในปริมาณทองคำสำรองของสหรัฐฯ ล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาหาทองคำมากขึ้น

🇺🇸 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2568: ขยายตัวดีขึ้น แต่เสี่ยงเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ตามการประมาณการของ IMF เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2568 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 2.2% เป็น 2.7%
ปัจจัยบวก ได้แก่:

การลดภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 15% สำหรับสินค้าผลิตในประเทศ
ส่งผลให้มีการลงทุนและการจ้างงานเพิ่มขึ้น

แรงจูงใจทางภาษีที่เอื้อต่อภาคธุรกิจ
ทำให้กำลังซื้อในประเทศขยายตัวตามการจ้างงานที่สูงขึ้น

การเนรเทศแรงงานผิดกฎหมาย
แม้จะลดแรงงานราคาถูกในตลาด แต่ก็เปิดโอกาสให้แรงงานภายในประเทศได้มีงานทำมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงของนโยบายเหล่านี้ก็คือ:

แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ จากการใช้จ่ายเพิ่ม ค่าแรงสูงขึ้น และต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่มากขึ้นจากการขึ้นภาษี

การขาดดุลงบประมาณ จากการลดภาษี และการอุดหนุนอุตสาหกรรมในประเทศ

สรุป เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมด ราคาทองคำยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อในระยะกลางถึงยาว โดยเฉพาะหากนโยบายของสหรัฐฯ สร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการค้าโลกมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ นักลงทุนยังคงมองทองคำเป็น “หลุมหลบภัย” ที่มั่นคงที่สุดในการรักษามูลค่าในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว